ที่ดิน น.ส.3 เป็นชื่อคนอื่น แต่เราใช้ประโยชน์จริง จะเปลี่ยนชื่อได้ไหม?

44 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ที่ดิน น.ส.3 เป็นชื่อคนอื่น แต่เราใช้ประโยชน์จริง จะเปลี่ยนชื่อได้ไหม?

ที่ดิน น.ส.3 (หนังสือรับรองการทำประโยชน์) เป็นเอกสารสิทธิที่แสดงถึงการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ไม่ใช่เอกสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เช่นเดียวกับโฉนดที่ดิน ดังนั้น ปัญหาเรื่องการไม่ตรงกันระหว่างชื่อผู้มีสิทธิในเอกสารกับผู้ครอบครองจริงจึงเป็นเรื่องที่พบบ่อยและสามารถแก้ไขได้ตามกฎหมาย

1. หลักการสำคัญ: สิทธิการครอบครองและทำประโยชน์
หัวใจของ น.ส.3 คือ "สิทธิการครอบครองและทำประโยชน์" ซึ่งหมายความว่ากฎหมายให้ความสำคัญกับผู้ที่ครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นจริง ๆ การที่ชื่อในเอกสารไม่ตรงกับผู้ครอบครองจริง ถือเป็นเพียงปัญหาทางทะเบียนที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการแสดงหลักฐานการครอบครองที่แท้จริง

2. แนวทางการดำเนินการตามสถานการณ์
การเปลี่ยนชื่อผู้มีสิทธิใน น.ส.3 ขึ้นอยู่กับความร่วมมือและสถานะของผู้มีชื่อในเอกสาร ดังนี้

สถานการณ์ที่ 1: ผู้มีชื่อในเอกสารยินยอมหรือให้ความร่วมมือ

นี่เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด โดยผู้มีชื่อในเอกสารสามารถโอนสิทธิในที่ดิน น.ส.3 ให้แก่ผู้ครอบครองจริงได้โดยตรง ณ สำนักงานที่ดินในท้องที่นั้น ๆ

ขั้นตอน:

เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้านของผู้มีชื่อใน น.ส.3 และผู้ครอบครองจริง
นำ น.ส.3 ไปยื่นคำขอโอนสิทธิ ณ สำนักงานที่ดิน
เจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนและดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิให้
ผู้มีชื่อในเอกสารสละสิทธิการครอบครองและผู้ครอบครองจริงจะได้รับ น.ส.3 ฉบับใหม่ในชื่อของตนเอง

สถานการณ์ที่ 2: ผู้มีชื่อในเอกสารถึงแก่กรรม

ในกรณีนี้ ทายาทโดยธรรมของผู้มีชื่อในเอกสารมีสิทธิรับมรดกที่ดิน น.ส.3 ไปก่อน จากนั้นจึงทำการโอนสิทธิให้แก่ผู้ครอบครองจริง

ขั้นตอน:

ทายาทของผู้มีชื่อในเอกสารต้องยื่นคำขอรับมรดก น.ส.3 ณ สำนักงานที่ดิน
เมื่อจดทะเบียนรับมรดกเรียบร้อยแล้ว ทายาทจึงสามารถนำเอกสาร น.ส.3 ที่เปลี่ยนชื่อเป็นของทายาทแล้ว ไปทำการโอนสิทธิให้แก่ผู้ครอบครองจริงในขั้นตอนเดียวกับสถานการณ์ที่ 1

สถานการณ์ที่ 3: ผู้มีชื่อในเอกสารไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่สามารถติดตามตัวได้

นี่เป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนที่สุด ซึ่งผู้ครอบครองจริงจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อพิสูจน์การครอบครองของตนเอง

ขั้นตอน:

การฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้แสดงสิทธิ: ผู้ครอบครองจริงต้อง ยื่นคำฟ้อง ต่อศาลให้ผู้มีชื่อในเอกสารเป็นจำเลย เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงสิทธิในการครอบครองที่ดิน น.ส.3 ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
การพิสูจน์สิทธิ: ผู้ฟ้องต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลว่าตนเองได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินนั้นมาอย่างเปิดเผย สุจริต และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (โดยปกติแล้ว ศาลจะพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่ามีการครอบครองมาเป็นเวลานานจนสมควรได้รับสิทธิ)
คำพิพากษาของศาล: หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ฟ้องครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลจะออกคำพิพากษาแสดงสิทธิให้
การดำเนินการที่สำนักงานที่ดิน: ผู้ครอบครองจริงสามารถนำคำพิพากษาของศาลไปยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครอง ณ สำนักงานที่ดินต่อไป
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
รวบรวมหลักฐาน: ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด การรวบรวมหลักฐานการครอบครองเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ภาพถ่ายการทำประโยชน์ พยานบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหรือการครอบครองก่อนหน้านี้
ปรึกษาทนายความ: การดำเนินการในสถานการณ์ที่ 3 มีความยุ่งยากและจำเป็นต้องใช้กระบวนการทางศาล ดังนั้นจึงควรปรึกษาและให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ระยะเวลาการครอบครอง: สำหรับ น.ส.3 กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ที่ชัดเจนเหมือนโฉนดที่ดิน (ซึ่งคือ 10 ปี) แต่ผู้ฟ้องต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นถึงการครอบครองที่ต่อเนื่องและยาวนานจนเชื่อได้ว่าตนคือผู้ครอบครองที่แท้จริง
การเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองในเอกสารสิทธิ น.ส.3 สามารถทำได้หากมีหลักฐานที่หนักแน่น การเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากท่านต้องการที่ปรึกษายินดีครับ

ทนายตรินัยน์  นบ, นบท   ทนายความวิเชียรบุรี ทนายความเพชรบูรณ์

Powered by MakeWebEasy.com