34 จำนวนผู้เข้าชม |
ในบทความนี้เราจะพาไปดูทีละกรณี
กรณีที่ 1: ภริยาฟ้องหย่าจากเหตุสามีมีชู้ จะเรียกร้องอะไรได้บ้าง
กรณีที่ 2: ภริยาไม่ฟ้องหย่า แต่ต้องการเรียกค่าเสียหายจากหญิงชู้โดยตรง ทำได้หรือไม่
กรณีที่ 3: เมื่อหย่าแล้ว ใครควรได้ “อำนาจปกครองบุตร” ระหว่างบิดาหรือมารดา
ทั้งหมดนี้เป็นสิทธิทางกฎหมายที่ภริยาควรรู้ เพื่อปกป้องเกียรติ ศักดิ์ศรี และความเป็นธรรมในชีวิตครอบครัวบทนำ
ปัญหาครอบครัวจากการ “มีชู้” เป็นหนึ่งในเหตุหย่าที่พบมากในคดีศาลครอบครัว
หลายคนอาจคิดว่า ถ้าไม่หย่า ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ในความจริง —
ภริยามีสิทธิเรียกร้องในทางกฎหมายได้ทั้งกรณีที่ฟ้องหย่า และแม้ไม่ฟ้องหย่าก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น การที่สามีไปคบหาหญิงอื่นอย่างเปิดเผยหรือสร้างความอับอายต่อภริยา
ยังอาจเข้าข่าย “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง”
ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเหตุหย่าตามกฎหมายเช่นกัน
2. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
(1) กรณีที่ 1 – ฟ้องหย่าเพราะสามีมีชู้
อ้างได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1)
“ถ้าสามีหรือภริยามีชู้ หรือสมรสกับผู้อื่นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”
ภริยาผู้ฟ้องหย่ามีสิทธิดังนี้
เรียกค่าเสียหายจากหญิงชู้ ตามมาตรา 1523
เรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังหย่า หากไม่มีความสามารถเลี้ยงดูตนเอง
แบ่งสินสมรสครึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 1533
ขออำนาจปกครองบุตร หากบิดามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
(2) กรณีที่ 2 – ภริยาไม่ฟ้องหย่า แต่ฟ้องหญิงชู้ได้
ตาม มาตรา 1523
“ถ้าชายมีภริยาแล้วสมสู่กับหญิงอื่นโดยสมัครใจ หรือหญิงรู้อยู่แล้วว่าชายมีภริยา หญิงนั้นต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ภริยา”
ดังนั้น ภริยาแม้ไม่ต้องฟ้องหย่า ก็ยังสามารถ
ฟ้องหญิงชู้เรียกค่าเสียหายทางละเมิด ได้โดยตรง
โดยไม่จำเป็นต้องยุติการสมรสกับสามีก่อน
ตัวอย่างเช่น ศาลฎีกาที่ 1461/2558
สามีไปอยู่กินกับหญิงอื่นอย่างเปิดเผย หญิงรู้อยู่แล้วว่าชายมีภริยา ศาลพิพากษาให้หญิงชู้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ภริยาโจทก์
(3) กรณีที่ 3 – การเลี้ยงดูบุตรหลังหย่า
ตาม มาตรา 1520
ศาลจะพิจารณา “ประโยชน์สูงสุดของบุตร” เป็นหลัก
โดยพิจารณาจาก
ความพร้อมในการอุปการะเลี้ยงดู
ความประพฤติและเสถียรภาพทางจิตใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรกับบิดามารดา
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1345/2562
ศาลให้บุตรอยู่กับมารดา เนื่องจากบิดามีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นจนขาดความเหมาะสมทางศีลธรรม
(4) กรณี “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา”
ตาม มาตรา 1516 (6)
“ถ้าฝ่ายใดประพฤติชั่ว หรือกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”
ตัวอย่างพฤติกรรมที่เข้าข่าย “ปฏิปักษ์ต่อการสมรส” ได้แก่
ทำร้ายร่างกาย ด่าทอ ดูหมิ่น หรือข่มเหงจิตใจอีกฝ่าย
ประพฤติเสื่อมเสียต่อเกียรติของคู่สมรส เช่น คบหญิงอื่น เปิดเผยในสังคม
ปล่อยปละละเลยไม่ทำหน้าที่คู่สมรสอย่างต่อเนื่อง
ยักยอกทรัพย์สินส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 3728/2560
สามีมีพฤติกรรมรุนแรงและหมิ่นประมาทภริยาในที่สาธารณะ ศาลถือเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการสมรส ภริยามีสิทธิฟ้องหย่าได้
3. แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ลำดับเลขฎีกาที่สำคัญ
1 ฎีกาที่ 1098/2562
ภริยาฟ้องหย่าเพราะสามีมีชู้ ศาลให้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากหญิงชู้ 150,000 บาท
2 ฎีกาที่ 2329/2558
แม้ภริยาไม่ฟ้องหย่า แต่พิสูจน์ได้ว่าสามีอยู่กินกับหญิงอื่นจริง ฟ้องหญิงชู้ได้โดยไม่ต้องหย่า
3 ฎีกาที่ 1345/2562
ศาลให้บุตรอยู่กับมารดา เพราะบิดาประพฤติผิดศีลธรรม มีชู้ ไม่เป็นแบบอย่างที่ดี
4 ฎีกาที่ 3728/2560
สามีด่าทอภริยาและขับไล่ออกจากบ้าน ถือเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการสมรส
4. บทสรุป
“สิทธิของภริยา” ในทางกฎหมาย ไม่ได้มีเพียงการฟ้องหย่าเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงการ ฟ้องหญิงชู้เรียกค่าเสียหาย,
ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู, และ เรียกร้องสิทธิในการเลี้ยงดูลูก ได้ด้วย
ในทางปฏิบัติ ทนายความควรช่วยภริยา
รวบรวมหลักฐาน เช่น ภาพถ่าย แชต บันทึกเสียง หรือหลักฐานทางโซเชียล
เพื่อพิสูจน์พฤติกรรมของสามีและหญิงชู้ให้ชัดเจน
เพราะในคดีครอบครัว “หลักฐานพฤติกรรม” มักมีน้ำหนักกว่าคำพูด
ข้อคิดจากทนายตรินัยน์
“อย่ากลัวที่จะใช้สิทธิของตน แต่จงใช้สิทธินั้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
เพราะทุกการฟ้องไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อทำลายครอบครัว
แต่เพื่อรักษาความยุติธรรมและศักดิ์ศรีของผู้ที่ถูกกระทำครับ
จัดทำโดย .....ทนายตรินัยน์ นบ, เนติบัณฑิตไทยสมัยที่ 59