มีผู้เดือดร้อนมาขอคำปรึกษาผมเลยนำข้อเท็จจริงมาเขียนบทความครับ

50 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มีผู้เดือดร้อนมาขอคำปรึกษาผมเลยนำข้อเท็จจริงมาเขียนบทความครับ

ชำระหนี้ผ่านลูกจ้าง ระงับหนี้หรือยังต้องจ่ายซ้ำ? เมื่อการโอนเงินผิดช่องทางกลายเป็นข้อพิพาท

บทนำ

ในทางการค้า การซื้อขายสินค้ามักมีลูกจ้างเป็นผู้ติดต่อส่งของและรับเงินแทนบริษัท แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ผู้ซื้อโอนเงินให้ลูกจ้างโดยตรง แล้วลูกจ้างไม่นำส่งให้นายจ้าง กลายเป็นปัญหาว่า “ผู้ซื้อยังคงต้องรับผิดชำระอีกหรือไม่” และ “นายจ้างสามารถเอาผิดกับใครได้บ้าง” คำตอบขึ้นอยู่กับหลักกฎหมายเรื่องการชำระหนี้ การให้สัตยาบัน และ “อำนาจโดยปรากฏ” ของลูกจ้าง

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 312
การชำระหนี้ต้องกระทำแก่เจ้าหนี้หรือผู้มีอำนาจรับชำระแทน

มาตรา 313
ถ้าชำระแก่ผู้ไม่มีอำนาจ จะระงับหนี้ก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ได้รับประโยชน์หรือให้สัตยาบัน

มาตรา 420
ลูกจ้างที่รับเงินแล้วไม่นำส่งเข้าบริษัท เป็นการกระทำละเมิด ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย

มาตรา 353 ประมวลกฎหมายอาญา
ลูกจ้างที่ยักยอกเงิน ถือเป็นความผิดฐาน “ยักยอกทรัพย์โดยลูกจ้าง”

หลักอำนาจโดยปรากฏ (Apparent Authority) – มาตรา 797, 805
หากนายจ้างมีพฤติการณ์ทำให้บุคคลภายนอกเชื่อโดยสุจริตว่าลูกจ้างมีอำนาจรับเงิน นายจ้างจะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้

การวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง
ครั้งที่ 1–3

ผู้ซื้อโอนเข้าบัญชีบริษัทผู้ขาย → ถูกต้องตามกฎหมาย หนี้ระงับ

ครั้งที่ 4

ผู้ซื้อโอนเข้าบัญชีลูกจ้าง → ลูกจ้างนำเงินส่งนายจ้าง

แม้ลูกจ้างไม่มีหนังสือมอบอำนาจ แต่เมื่อนายจ้างได้รับเงินและไม่ทักท้วง = ให้สัตยาบันโดยปริยาย

หนี้ครั้งนี้ระงับแน่นอน

ครั้งที่ 5–6

ผู้ซื้อกลับไปโอนเข้าบริษัทผู้ขาย → ถูกต้องตามแบบแผน หนี้ระงับ

ครั้งที่ 7–8

ผู้ซื้อโอนเข้าบัญชีลูกจ้างอีกครั้ง แต่ลูกจ้างไม่นำส่งให้นายจ้าง

หลักทั่วไป: หนี้ยังไม่ระงับ ผู้ขายยังฟ้องผู้ซื้อได้

ข้อยกเว้น (ฝ่ายผู้ซื้อใช้ต่อสู้ได้): หากพิสูจน์ได้ว่ามี “อำนาจโดยปรากฏ” จากพฤติการณ์ครั้งก่อน เช่น

ครั้งที่ 4 นายจ้างรับเงินจากลูกจ้างโดยไม่ทักท้วง

นายจ้างยังใช้ลูกจ้างเป็นผู้ติดต่อส่งของ เก็บเงินลูกค้ารายอื่น

มีแชต/เอกสาร/ใบส่งของ ที่ชี้ว่าให้ชำระผ่านลูกจ้างได้
→ ผู้ซื้อจึงอ้างว่าเชื่อโดยสุจริตว่าลูกจ้างมีอำนาจรับเงินแทนบริษัท หนี้ครั้งที่ 7–8 ระงับแล้ว

ความรับผิดของแต่ละฝ่าย
1) ลูกจ้าง

ผิดละเมิดต่อบริษัท ต้องคืนเงินที่ยักยอกพร้อมดอกเบี้ย

เข้าข่ายผิดอาญา ฐานยักยอกทรัพย์โดยลูกจ้าง (ป.อ. ม.353)

นายจ้างมีสิทธิฟ้องแพ่ง–อาญาควบคู่

2) ผู้ขาย (นายจ้าง)

หากไม่มีพฤติการณ์ก่อ “อำนาจโดยปรากฏ” → มีสิทธิเรียกผู้ซื้อชำระอีกครั้ง

หากมีพฤติการณ์ยอมรับการชำระผ่านลูกจ้าง → ต้องไปเอากับลูกจ้างเอง

3) ผู้ซื้อ

หากพิสูจน์ได้ว่า “เชื่อโดยสุจริตตามพฤติการณ์” → พ้นความรับผิด (หนี้ระงับ)

หากพิสูจน์ไม่ได้ → ต้องจ่ายซ้ำ แล้วไปไล่เบี้ยจากลูกจ้างเอง

ข้อสรุปและกลยุทธ์

ฝ่ายผู้ขาย (โจทก์): ฟ้องผู้ซื้อเป็นหลักตาม ม.312–313 พร้อมแนบหลักฐานแบบแผนการจ่ายเข้าบริษัท, ฟ้องลูกจ้างยักยอกสำรอง

ฝ่ายผู้ซื้อ (จำเลย): ยกข้อสู้ “อำนาจโดยปรากฏ” จากพฤติการณ์ครั้งที่ 4 และการมอบหมายหน้าที่ลูกจ้าง → เพื่อให้หนี้ครั้งที่ 7–8 ระงับ

ฝ่ายลูกจ้าง: เสี่ยงทั้งแพ่งและอาญา ต้องเตรียมรับผิดเต็มที่

กลยุทธ์สำคัญ:

หากเป็นฝ่ายผู้ซื้อ ต้องรวบรวมหลักฐานยืนยัน “ความสุจริต” เช่น แชต, ใบส่งของ, พยานการค้าปกติ
หากเป็นฝ่ายผู้ขาย ต้องแสดงว่า แบบแผนจริงคือการโอนเข้าบัญชีบริษัท การโอนให้ลูกจ้างเป็นการ “เสี่ยงเอง” ของผู้ซื้อ

บทเรียนคือ ในการทำธุรกิจ ควรชำระเงินเข้าบัญชีบริษัทโดยตรงเสมอ หากจำเป็นต้องชำระผ่านลูกจ้าง ต้องมีเอกสารรับรองอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้น ความเสี่ยงทางคดีจะตกอยู่กับผู้ซื้อเต็ม ๆ

ทนายตรินัยน์   นบ, เนติบัณฑิตยไทย 

 

 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com