45 จำนวนผู้เข้าชม |
หนี้สลากฯ กลายร่างเป็นหนี้กู้! เมื่อทำ "สัญญากู้ยืมเงิน" แทนการคืนเงิน จะฟ้องร้องอย่างไรให้ชนะคดี
หลายครั้งที่การซื้อขายไม่เป็นไปตามข้อตกลง ผู้ขายผิดนัดไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ และแทนที่จะคืนเงินสด คู่กรณีกลับเลือกทำ "สัญญากู้ยืมเงิน" ขึ้นมาค้ำประกันหนี้เดิม พฤติการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปลี่ยน 'หลักฐาน' แต่เป็นการ 'แปลงหนี้ใหม่' ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ บทความนี้จะวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนจากหนี้จากการซื้อขาย เป็นหนี้เงินกู้นั้น มีผลทางกฎหมายอย่างไร และเจ้าหนี้ (ผู้ซื้อ) จะต้องฟ้องร้องตามสัญญากู้ยืมเงินอย่างไร เพื่อให้ได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลักกฎหมาย: การแปลงหนี้ใหม่และความระงับแห่งหนี้
หัวใจสำคัญของคดีนี้อยู่ที่หลักเรื่อง การแปลงหนี้ใหม่ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 349 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า:
“เมื่อคู่กรณีได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้นั้นไซร้ หนี้อันเดิมก็เป็นอันระงับสิ้นไปเพราะแปลงหนี้ใหม่”
ในทางกฎหมาย การเปลี่ยนจากหนี้ตามสัญญาซื้อขาย (หนี้คืนเงินจากการผิดนัดส่งมอบ) ไปเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ถือเป็นการ เปลี่ยนมูลหนี้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งของหนี้เดิม ส่งผลให้หนี้ที่นายดำเรียกร้องคืนค่าสลากฯ ระงับสิ้นไป โดยผลของกฎหมายทันที
นอกจากนี้ การฟ้องร้องเรียกเงินกู้ยืมจะต้องมีหลักฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่าการกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
การวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง
จากข้อเท็จจริงที่นายดำซื้อสลากฯ ไป 150,000 บาท แล้วนายแดงไม่มีสลากฯ ให้ จึงขอทำ สัญญากู้ยืมเงิน ไว้เป็นหลักฐาน วิเคราะห์ได้ดังนี้:
มูลหนี้เปลี่ยน: เมื่อนายแดงยอมทำสัญญากู้ยืมเงิน 150,000 บาทแทนการคืนเงินค่าสลากฯ ถือเป็นเจตนาของคู่กรณีที่จะแปลงหนี้ใหม่ ทำให้ หนี้ซื้อขายสลากฯ ระงับสิ้นไป
สถานะทางกฎหมาย: หนี้ของนายแดงต่อนายดำจึงกลายเป็น หนี้เงินกู้ยืม จำนวน 150,000 บาท โดยมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร
การเรียกดอกเบี้ยตามสัญญา: เนื่องจากสัญญาแปลงหนี้ใหม่ระบุไว้ชัดเจนว่า "ไม่มีดอกเบี้ย" นายดำจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญา (ดอกเบี้ยก่อนผิดนัด)
การเรียกดอกเบี้ยผิดนัด: เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วนายแดงไม่ชำระ นายแดงจะตกเป็น ผู้ผิดนัด นายดำจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในฐานะ ดอกเบี้ยผิดนัด ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันคือร้อยละ 3 ต่อปี) นับแต่วันที่ผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ
แน่นอนครับ ผมจะขยายความจากคำขึ้นต้นที่วางไว้ ให้เป็นบทความทางกฎหมายที่ครบถ้วนตามโครงสร้างที่กำหนดครับ
หนี้สลากฯ กลายร่างเป็นหนี้กู้! เมื่อทำ "สัญญากู้ยืมเงิน" แทนการคืนเงิน จะฟ้องร้องอย่างไรให้ชนะคดี
หลายครั้งที่การซื้อขายไม่เป็นไปตามข้อตกลง ผู้ขายผิดนัดไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ และแทนที่จะคืนเงินสด คู่กรณีกลับเลือกทำ "สัญญากู้ยืมเงิน" ขึ้นมาค้ำประกันหนี้เดิม พฤติการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปลี่ยน 'หลักฐาน' แต่เป็นการ 'แปลงหนี้ใหม่' ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ บทความนี้จะวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนจากหนี้จากการซื้อขาย เป็นหนี้เงินกู้นั้น มีผลทางกฎหมายอย่างไร และเจ้าหนี้ (ผู้ซื้อ) จะต้องฟ้องร้องตามสัญญากู้ยืมเงินอย่างไร เพื่อให้ได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลักกฎหมาย: การแปลงหนี้ใหม่และความระงับแห่งหนี้
หัวใจสำคัญของคดีนี้อยู่ที่หลักเรื่อง การแปลงหนี้ใหม่ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 349 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า:
“เมื่อคู่กรณีได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้นั้นไซร้ หนี้อันเดิมก็เป็นอันระงับสิ้นไปเพราะแปลงหนี้ใหม่”
ในทางกฎหมาย การเปลี่ยนจากหนี้ตามสัญญาซื้อขาย (หนี้คืนเงินจากการผิดนัดส่งมอบ) ไปเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ถือเป็นการ เปลี่ยนมูลหนี้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งของหนี้เดิม ส่งผลให้หนี้ที่นายดำเรียกร้องคืนค่าสลากฯ ระงับสิ้นไป โดยผลของกฎหมายทันที
นอกจากนี้ การฟ้องร้องเรียกเงินกู้ยืมจะต้องมีหลักฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่าการกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
การวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง
จากข้อเท็จจริงที่นายดำซื้อสลากฯ ไป 150,000 บาท แล้วนายแดงไม่มีสลากฯ ให้ จึงขอทำ สัญญากู้ยืมเงิน ไว้เป็นหลักฐาน วิเคราะห์ได้ดังนี้:
มูลหนี้เปลี่ยน: เมื่อนายแดงยอมทำสัญญากู้ยืมเงิน 150,000 บาทแทนการคืนเงินค่าสลากฯ ถือเป็นเจตนาของคู่กรณีที่จะแปลงหนี้ใหม่ ทำให้ หนี้ซื้อขายสลากฯ ระงับสิ้นไป
สถานะทางกฎหมาย: หนี้ของนายแดงต่อนายดำจึงกลายเป็น หนี้เงินกู้ยืม จำนวน 150,000 บาท โดยมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร
การเรียกดอกเบี้ยตามสัญญา: เนื่องจากสัญญาแปลงหนี้ใหม่ระบุไว้ชัดเจนว่า "ไม่มีดอกเบี้ย" นายดำจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญา (ดอกเบี้ยก่อนผิดนัด)
การเรียกดอกเบี้ยผิดนัด: เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วนายแดงไม่ชำระ นายแดงจะตกเป็น ผู้ผิดนัด นายดำจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในฐานะ ดอกเบี้ยผิดนัด ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันคือร้อยละ 3 ต่อปี) นับแต่วันที่ผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ
ข้อสรุปและกลยุทธ์ในการฟ้องคดี
กลยุทธ์ของนายดำในการฟ้องคดีคือการ ฟ้องตามสัญญากู้ยืมเงินใหม่ โดยเด็ดขาดเท่านั้น และต้องเตรียมหลักฐานดังนี้
ประเด็น
กลยุทธ์ในการฟ้อง
มูลหนี้
ฟ้องเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงิน (150,000 บาท) ห้ามกล่าวอ้างเรื่องการซื้อขายสลากฯ อีก เนื่องจากหนี้เดิมระงับแล้ว
หลักฐาน
นำสัญญากู้ยืมเงินฉบับจริง ที่ลงลายมือชื่อนายแดงมาแสดงต่อศาล เป็นหลักฐานการกู้ยืม
ดอกเบี้ย
เรียกร้อง เงินต้น 150,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ยผิดนัด ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224) โดยเริ่มนับจากวันถัดจากวันที่นายแดงผิดนัดชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญากู้
ข้อควรระวัง
หากสัญญากู้ไม่ได้ระบุวันครบกำหนดชำระ นายดำต้อง ทวงถาม ให้นายแดงชำระหนี้ก่อน โดยกำหนดเวลาที่สมควร เมื่อพ้นกำหนดแล้วนายแดงจึงจะตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัด
แน่นอนครับ ผมจะขยายความจากคำขึ้นต้นที่วางไว้ ให้เป็นบทความทางกฎหมายที่ครบถ้วนตามโครงสร้างที่กำหนดครับ
หนี้สลากฯ กลายร่างเป็นหนี้กู้! เมื่อทำ "สัญญากู้ยืมเงิน" แทนการคืนเงิน จะฟ้องร้องอย่างไรให้ชนะคดี
หลายครั้งที่การซื้อขายไม่เป็นไปตามข้อตกลง ผู้ขายผิดนัดไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ และแทนที่จะคืนเงินสด คู่กรณีกลับเลือกทำ "สัญญากู้ยืมเงิน" ขึ้นมาค้ำประกันหนี้เดิม พฤติการณ์เช่นนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปลี่ยน 'หลักฐาน' แต่เป็นการ 'แปลงหนี้ใหม่' ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ บทความนี้จะวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนจากหนี้จากการซื้อขาย เป็นหนี้เงินกู้นั้น มีผลทางกฎหมายอย่างไร และเจ้าหนี้ (ผู้ซื้อ) จะต้องฟ้องร้องตามสัญญากู้ยืมเงินอย่างไร เพื่อให้ได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลักกฎหมาย: การแปลงหนี้ใหม่และความระงับแห่งหนี้
หัวใจสำคัญของคดีนี้อยู่ที่หลักเรื่อง การแปลงหนี้ใหม่ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 349 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า:
“เมื่อคู่กรณีได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้นั้นไซร้ หนี้อันเดิมก็เป็นอันระงับสิ้นไปเพราะแปลงหนี้ใหม่”
ในทางกฎหมาย การเปลี่ยนจากหนี้ตามสัญญาซื้อขาย (หนี้คืนเงินจากการผิดนัดส่งมอบ) ไปเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ถือเป็นการ เปลี่ยนมูลหนี้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งของหนี้เดิม ส่งผลให้หนี้ที่นายดำเรียกร้องคืนค่าสลากฯ ระงับสิ้นไป โดยผลของกฎหมายทันที
นอกจากนี้ การฟ้องร้องเรียกเงินกู้ยืมจะต้องมีหลักฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่าการกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
การวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง
จากข้อเท็จจริงที่นายดำซื้อสลากฯ ไป 150,000 บาท แล้วนายแดงไม่มีสลากฯ ให้ จึงขอทำ สัญญากู้ยืมเงิน ไว้เป็นหลักฐาน วิเคราะห์ได้ดังนี้:
มูลหนี้เปลี่ยน: เมื่อนายแดงยอมทำสัญญากู้ยืมเงิน 150,000 บาทแทนการคืนเงินค่าสลากฯ ถือเป็นเจตนาของคู่กรณีที่จะแปลงหนี้ใหม่ ทำให้ หนี้ซื้อขายสลากฯ ระงับสิ้นไป
สถานะทางกฎหมาย: หนี้ของนายแดงต่อนายดำจึงกลายเป็น หนี้เงินกู้ยืม จำนวน 150,000 บาท โดยมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร
การเรียกดอกเบี้ยตามสัญญา: เนื่องจากสัญญาแปลงหนี้ใหม่ระบุไว้ชัดเจนว่า "ไม่มีดอกเบี้ย" นายดำจึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามสัญญา (ดอกเบี้ยก่อนผิดนัด)
การเรียกดอกเบี้ยผิดนัด: เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วนายแดงไม่ชำระ นายแดงจะตกเป็น ผู้ผิดนัด นายดำจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในฐานะ ดอกเบี้ยผิดนัด ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (ปัจจุบันคือร้อยละ 3 ต่อปี) นับแต่วันที่ผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ
ข้อสรุปและกลยุทธ์ในการฟ้องคดี
กลยุทธ์ของนายดำในการฟ้องคดีคือการ ฟ้องตามสัญญากู้ยืมเงินใหม่ โดยเด็ดขาดเท่านั้น และต้องเตรียมหลักฐานดังนี้
ประเด็น
กลยุทธ์ในการฟ้อง
มูลหนี้
ฟ้องเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงิน (150,000 บาท) ห้ามกล่าวอ้างเรื่องการซื้อขายสลากฯ อีก เนื่องจากหนี้เดิมระงับแล้ว
หลักฐาน
นำสัญญากู้ยืมเงินฉบับจริง ที่ลงลายมือชื่อนายแดงมาแสดงต่อศาล เป็นหลักฐานการกู้ยืม
ดอกเบี้ย
เรียกร้อง เงินต้น 150,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ยผิดนัด ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224) โดยเริ่มนับจากวันถัดจากวันที่นายแดงผิดนัดชำระหนี้ตามกำหนดในสัญญากู้
ข้อควรระวัง
หากสัญญากู้ไม่ได้ระบุวันครบกำหนดชำระ นายดำต้อง ทวงถาม ให้นายแดงชำระหนี้ก่อน โดยกำหนดเวลาที่สมควร เมื่อพ้นกำหนดแล้วนายแดงจึงจะตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องเสียดอกเบี้ยผิดนัด
การใช้สัญญากู้ยืมเงินเป็นหลักฐานในการฟ้องร้อง ถือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คดีมีความชัดเจน ง่ายต่อการนำสืบ และเพิ่มโอกาสให้นายดำได้รับเงินคืนตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด.
ทนายตรินัยน์ นบ, เนติบัณฑิตยไทย