หนี้บัตรเครดิตทุกประเภท ถ้าถูกฟ้องควรทำอย่างไรดี

60 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หนี้บัตรเครดิตทุกประเภท ถ้าถูกฟ้องควรทำอย่างไรดี

หนี้บัตรเครดิต: เข้าใจประเภทและวิธีการชำระ ก่อนปัญหาจะลุกลาม


บทนำ
“บัตรเครดิต” ถูกมองว่าเป็นเพื่อนยามฉุกเฉิน แต่สำหรับใครหลายคน มันกลับกลายเป็นภาระที่ตามหลอกหลอนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด การรู้ว่าหนี้บัตรเครดิตมีกี่ประเภท และเรามีวิธีจัดการอย่างไรบ้าง คือก้าวแรกที่จะช่วยให้คุณควบคุมหนี้ได้อยู่หมัด


ประเภทของหนี้บัตรเครดิต
หนี้ผ่อนสินค้า
เกิดจากการซื้อสินค้า/บริการด้วยระบบผ่อนชำระ เช่น โทรศัพท์ ทีวี เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ผู้ถือบัตรต้องจ่ายตามงวดที่กำหนด ดอกเบี้ยมักสูงกว่าการกู้ทั่วไป หากผิดนัดจะถูกคิดค่าปรับทันที
หนี้กดเงินสด (Cash Advance)
ผู้ถือบัตรสามารถกดเงินสดออกมาใช้ได้ แต่ดอกเบี้ยจะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่กด แตกต่างจากการรูดซื้อสินค้า ซึ่งมีระยะปลอดดอกเบี้ย หากไม่ระวังจะทำให้ยอดหนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หนี้จากการกู้ยืม/แปลงยอด (Loan on Card)
เป็นการเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตเป็นเงินกู้ผ่อนชำระรายงวด โดยมักมีดอกเบี้ยใกล้เคียงสินเชื่อส่วนบุคคล จุดดีคือผ่อนเป็นงวด ๆ แน่นอน แต่หากผิดนัดจะถูกฟ้องร้องเช่นเดียวกับหนี้กู้ยืมทั่วไป

วิธีการชำระหนี้บัตรเครดิต
ชำระเต็มจำนวน
จ่ายเต็มตามใบแจ้งหนี้ → ไม่เสียดอกเบี้ย ถือว่าดีที่สุด
ชำระขั้นต่ำ
จ่ายเพียง 5% หรือ 10% ของยอดรวม → ที่เหลือถูกคิดดอกเบี้ยสูง (ประมาณ 16–18% ต่อปี) และหนี้จะพอกพูนเรื่อย ๆ
ผ่อนชำระบางส่วน (Partial Payment)
จ่ายเกินขั้นต่ำแต่ไม่เต็มจำนวน → ลดภาระดอกเบี้ยลงได้บ้าง แต่ยังมีดอกเบี้ยคงเหลือ
ปรับโครงสร้างหนี้/เจรจาประนอมหนี้
ใช้ได้เมื่อหนี้พอกพูนจนชำระไม่ไหว สามารถเจรจาลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลา หรือปรับเงื่อนไขการชำระกับเจ้าหนี้ได้

ข้อคิดสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิต
ใช้บัตรอย่างมีวินัย → จ่ายเต็มทุกเดือน
หลีกเลี่ยงการกดเงินสด → เพราะดอกเบี้ยสูงและเริ่มนับทันที
ถ้าผ่อนสินค้า → ตรวจสอบยอดรวมและดอกเบี้ยจริงก่อนตัดสินใจ
หากมีปัญหาชำระหนี้ → ควรเจรจาและปรับโครงสร้างหนี้ ไม่ควรปล่อยจนถูกฟ้องร้อง

บทสรุป
บัตรเครดิตไม่ใช่กับดัก หากใช้ถูกวิธี แต่ถ้าใช้ผิด ก็กลายเป็นหนี้ที่ไม่มีวันจบสิ้นได้ สิ่งสำคัญคือ “รู้เท่าทัน” ประเภทหนี้และวิธีชำระที่เหมาะสมกับตัวเอง รวมถึงสิทธิทางกฎหมายที่คุ้มครองผู้บริโภคในกรณีดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับที่ไม่เป็นธรรม


---ภาคผนวก: ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
ฎีกาที่ 4305/2548
การคิดดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ถือเป็นการตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย ศาลตัดส่วนดอกเบี้ยที่เกินกำหนดออกไป

ฎีกาที่ 2530/2560
หากเจ้าหนี้ (บริษัทบัตรเครดิตหรือผู้ให้เช่าซื้อ) ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เช่น การขายทรัพย์โดยไม่แจ้งสิทธิให้ลูกหนี้ ศาลไม่อนุญาตให้เรียกค่าขาดราคา

ฎีกาที่ 6779/2567
ค่าขาดราคาหลังการบอกเลิกสัญญา ถือเป็นเบี้ยปรับ ศาลมีอำนาจลดลงได้หากเห็นว่าสูงเกินสมควร

ฎีกาที่ 3252/2565
ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมที่เกิดขึ้นหลังพ้นกำหนด 60 วัน หากเจ้าหนี้ไม่บอกกล่าวตามมาตรา 686 ป.พ.พ.

---การมีตัวอย่างคำพิพากษาเหล่านี้ ช่วยให้ประชาชนมั่นใจว่า หากถูกคิดดอกเบี้ยหรือค่าปรับไม่เป็นธรรม สามารถยกฎีกามาใช้เป็นแนวทางต่อสู้คดีได้จริง

จัดทำโดย....ทนายตรินัยน์    ( นบ, เนติบัณฑิตไทย )

 

Powered by MakeWebEasy.com