บัตรเครดิต..ใช่ว่าจะถูกฟ้องแล้วต้องแพ้คดีเสมอไป!

48 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บัตรเครดิต..ใช่ว่าจะถูกฟ้องแล้วต้องแพ้คดีเสมอไป!

คดีบัตรเครดิต: ช่องทางการต่อสู้ที่ลูกหนี้ควรรู้ 


หลายคนเข้าใจว่า “คดีบัตรเครดิต” หากถูกฟ้องแล้วต้องแพ้คดีเสมอไป แต่ในความเป็นจริง กฎหมายเปิดช่องทางให้ลูกหนี้สามารถต่อสู้หรือขอลดหย่อนภาระหนี้ได้หลายประการ ทั้งเรื่อง อายุความ ดอกเบี้ย การโอนสิทธิเรียกร้อง ความมีอยู่จริงของหนี้ ไปจนถึงการเจรจาไกล่เกลี่ยในศาล หากรู้สิทธิและแนวคำพิพากษาศาลฎีกาประกอบ ก็จะยิ่งช่วยให้ลูกหนี้มีโอกาสปกป้องสิทธิของตนเองได้มากขึ้น


1. การขาดอายุความของหนี้
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34(7) หนี้บัตรเครดิตมีอายุความเพียง 2 ปี นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ครั้งสุดท้าย หากเจ้าหนี้หรือบริษัทรับซื้อหนี้มาฟ้องเกินกำหนดนี้ ศาลมีอำนาจยกฟ้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6194/2545 วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ฟ้องเกินกำหนด 2 ปี หนี้บัตรเครดิตขาดอายุความ ลูกหนี้ยกขึ้นต่อสู้ได้และศาลพิพากษายกฟ้อง
---นี่จึงเป็นช่องทางสำคัญที่ลูกหนี้ควรตรวจสอบวันผิดนัดครั้งสุดท้ายทุกครั้งก่อนสู้คดี


2. อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกินกฎหมายกำหนด
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเพดานดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตไว้ไม่เกินประมาณ 18% ต่อปี (ปัจจุบันอยู่ที่ 16–18% ตามประกาศแต่ละช่วง) หากเจ้าหนี้เรียกเก็บรวมดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ส่วนที่เกินนั้นไม่สามารถเรียกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4301/2553 วินิจฉัยว่า หากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ศาลให้ตัดออก เหลือเพียงดอกเบี้ยตามกฎหมาย
---ลูกหนี้สามารถต่อสู้เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและค่าปรับที่ไม่เป็นธรรมได้


3. ความชอบด้วยกฎหมายของการโอนสิทธิเรียกร้อง
หลายคดี เจ้าหนี้ที่ฟ้องไม่ใช่ธนาคารโดยตรง แต่เป็น บริษัทรับซื้อหนี้ (Debt Collector) หากการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ได้มีการแจ้งลูกหนี้โดยถูกต้อง บริษัทดังกล่าวอาจไม่มีสิทธิฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2549 ระบุว่า หากไม่มีการบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ทราบตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 การโอนสิทธิไม่มีผลผูกพันลูกหนี้
---ดังนั้นควรตรวจสอบทุกครั้งว่าโจทก์ที่ฟ้องเป็นใคร และมีหลักฐานการโอนสิทธิเรียกร้องชัดเจนหรือไม่


4. การพิสูจน์ความมีอยู่จริงของหนี้และเอกสาร
ลูกหนี้มีสิทธิยกข้อต่อสู้ว่า หนี้ที่ฟ้องไม่มีจริง เช่น บัตรเครดิตถูกขโมย ลายมือชื่อในเซลสลิปไม่ตรงกับที่ใช้ทำสัญญา หรือยอดหนี้ไม่ตรงตามที่ธนาคารเคยยืนยัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2550 วินิจฉัยว่า หากโจทก์ไม่สามารถนำพยานหลักฐานพิสูจน์หนี้ได้แน่ชัด ศาลไม่อาจพิพากษาให้ลูกหนี้รับผิด
---การตรวจสอบเอกสารทุกแผ่นที่แนบมากับฟ้องจึงสำคัญมาก


5. การเจรจาและการประนีประนอมในศาล
ศาลมักส่งเสริมให้คู่ความเจรจาไกล่เกลี่ย หากลูกหนี้แสดงเจตนาพร้อมชำระบางส่วน สามารถต่อรอง ขอลดดอกเบี้ย ค่าปรับ หรือแม้แต่เงินต้นบางส่วน ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2551 เคยยืนยันผลของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหนี้ว่า มีผลผูกพันคู่ความเสมือนคำพิพากษาถึงที่สุด
---การเจรจาจึงเป็นโอกาสที่ลูกหนี้จะลดภาระหนี้ให้น้อยลง


 สรุป 
หนี้บัตรเครดิตไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้คดีเสมอไป หากลูกหนี้รู้สิทธิของตนและใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปกป้องตัวเอง ทั้งในเรื่อง อายุความ ดอกเบี้ย การโอนสิทธิ เอกสารพิสูจน์หนี้ และการเจรจาในศาล ก็มีโอกาสต่อสู้จนชนะคดี หรืออย่างน้อยที่สุดลดภาระหนี้ลงได้มาก

จัดทำโดย.....ทนายตรินัยน์   นบ, เนติบัณฑิตไทย

  

Powered by MakeWebEasy.com