38 จำนวนผู้เข้าชม |
บทนำ
หลายครอบครัวอาจเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ — เจ้าของที่ดินสูงอายุ ไม่มีภรรยา ไม่มีลูก พ่อแม่ก็เสียชีวิตหมดแล้ว เหลือเพียงพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน และหลานบางคนที่คอยดูแลท่านในบั้นปลายชีวิต
ก่อนเสียชีวิต เจ้ามรดกเขียน “จดหมายด้วยลายมือตนเอง” ระบุว่าจะยกที่ดินให้หลานคนหนึ่ง แต่จดหมายนั้นไม่มีพยาน ไม่มีการจดทะเบียนยกให้ หลานจึงอ้างว่าจดหมายนั้นคือพินัยกรรม และต่อมาหลังเจ้ามรดกตาย หลานได้ร้องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกด้วย
คำถามคือ...
จดหมายนี้ถือเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่?
หลานมีสิทธิรับมรดกแทนบิดามารดาที่ตายก่อนหรือไม่?
และถ้าหลานเป็นผู้จัดการมรดกแล้วนำทรัพย์ไปเป็นของตนเอง จะมีความผิดหรือไม่?
2. หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
(1) การรับมรดกตามกฎหมาย
ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และ 1629
เมื่อบุคคลใดตาย มรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม ซึ่งในกรณีนี้ เจ้าของมรดกไม่มีบุตร ไม่มีภริยา และบิดามารดาก็ถึงแก่กรรมแล้ว
ทายาทโดยธรรมจึงเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้ง 4 คน
ส่วน “หลาน” จะมีสิทธิรับแทนได้ก็ต่อเมื่อบิดาหรือมารดาของตน (ซึ่งเป็นพี่น้องของเจ้ามรดก) ตายก่อนเจ้ามรดก
โดยรับแทนเฉพาะในส่วนของบิดามารดาเท่านั้น ตาม มาตรา 1635 (2)
(2) พินัยกรรมด้วยลายมือเอง
ตาม มาตรา 1657 ผู้ทำพินัยกรรมต้องเขียนด้วยลายมือเองทั้งหมด ลงลายมือชื่อ และวันเดือนปีที่ทำ
หากขาดองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่ง พินัยกรรมเป็นโมฆะทันที
ดังนั้น “จดหมายยกที่ดินให้หลาน” จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีลายมือเจ้ามรดกครบถ้วน พร้อมวัน เดือน ปี และเจตนาแน่ชัดว่าจะให้มีผลเมื่อถึงแก่ความตาย
(3) หน้าที่ของผู้จัดการมรดก
ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ตาม มาตรา 1719–1726 ป.พ.พ.
ต้องรักษาทรัพย์มรดกไว้เพื่อชำระหนี้สิน และแบ่งทรัพย์ให้ทายาทโดยธรรมตามส่วน ไม่อาจโอนทรัพย์มรดกให้ตนเองได้ เว้นแต่ศาลอนุญาตโดยชอบ
หากผู้จัดการมรดกนำทรัพย์มรดกไปเป็นของตนเอง ถือว่ากระทำโดยทุจริต
อาจมีความผิดฐาน “ยักยอกทรัพย์” ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ซึ่งบัญญัติว่า
“ผู้ใดเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น หรือทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย โดยทุจริตยักยอกเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
กรณีนี้ แม้หลานจะเป็น “ผู้จัดการมรดกโดยศาลแต่งตั้ง”
แต่ถ้านำที่ดินหรือทรัพย์สินมรดกไปโอนเป็นชื่อของตนเอง โดยไม่แบ่งให้ทายาทคนอื่นตามสิทธิ
ย่อมเข้าข่ายยักยอกทรัพย์ เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็น “ของกองมรดกร่วม”
3. แนวคำพิพากษาศาลฎีกา
ฎีกาที่ 1023/2566
ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อเจ้ามรดกมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 7 คน และบางคนเสียชีวิตก่อน หลานของผู้นั้นมีสิทธิรับแทนเฉพาะส่วนของบิดามารดา ไม่อาจรับในส่วนของพี่น้องคนอื่นได้
ฎีกาที่ 2413/2549
จดหมายที่เจ้ามรดกเขียนระบุว่าจะยกที่ดินให้หลาน หากขาดวันเดือนปี หรือไม่แสดงเจตนาชัดเจนว่าจะให้มีผลเมื่อถึงแก่ความตาย ไม่เป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย
ฎีกาที่ 2686/2547
ผู้จัดการมรดกที่นำทรัพย์มรดกไปโอนเป็นชื่อของตนเอง โดยมิได้แบ่งให้ทายาทคนอื่นตามส่วน ถือว่ากระทำโดยทุจริต เข้าข่ายความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352
4. บทสรุป
ในกรณีนี้
หาก “จดหมายยกที่ดินให้หลาน” ขาดองค์ประกอบพินัยกรรมตามมาตรา 1657 → ถือเป็นโมฆะ
หลานจึงมีสิทธิรับมรดกได้เฉพาะ “ส่วนของบิดามารดาที่ตายก่อน” ตามสิทธิรับแทน
หากหลานยื่นศาลขอเป็นผู้จัดการมรดก และต่อมานำที่ดินไปโอนเป็นชื่อของตนเอง โดยไม่แบ่งให้ทายาทอื่น ถือเป็นการใช้ตำแหน่งโดยมิชอบ
---อาจถูกฟ้องแพ่งให้เพิกถอนการโอน
---และอาจถูกดำเนินคดีอาญาฐาน “ยักยอกทรัพย์มรดก” ได้
ข้อคิดสำคัญ
การเป็นผู้จัดการมรดกเป็นตำแหน่งที่มี “อำนาจควบคู่กับความรับผิดชอบ”
หากใช้อำนาจนั้นโดยมิชอบ ไม่เพียงแต่ศาลอาจเพิกถอนตำแหน่ง ยังอาจนำมาซึ่งความผิดทางอาญาได้ด้วย
จัดทำโดย...ทนายตรินัยน์ นบ, เนติบัณฑิตไทย