การเป็นผู้จัดการมรดกมิใช่การโอนทรัพย์มรดกให้แก่ตนเอง

74 จำนวนผู้เข้าชม  | 

การเป็นผู้จัดการมรดกมิใช่การโอนทรัพย์มรดกให้แก่ตนเอง

ผู้จัดการมรดก: บทบาท อำนาจ และความรับผิดชอบที่คุณต้องรู้
 

บทนำ 

เมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดที่ผู้นั้นมีอยู่ย่อมตกทอดแก่ทายาททันที ทว่าการจัดการและแบ่งปันทรัพย์สินเหล่านั้นให้เป็นไปตามเจตนาของผู้ตายหรือตามกฎหมายอย่างถูกต้อง มักเป็นเรื่องซับซ้อนและนำมาซึ่งความขัดแย้ง “ผู้จัดการมรดก” จึงเป็นตำแหน่งสำคัญที่เข้ามาทำหน้าที่รวบรวมทรัพย์สิน ชำระหนี้สิน และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทอย่างยุติธรรม ตำแหน่งนี้มาพร้อมกับอำนาจและความรับผิดชอบที่เคร่งครัดตามกฎหมาย บทความนี้จะเจาะลึกทุกมิติของการเป็นผู้จัดการมรดก ตั้งแต่สิทธิ คุณสมบัติ หน้าที่ ไปจนถึงโทษทางกฎหมายหากปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
 

ข้อกฎหมาย: สิทธิและคุณสมบัติของผู้มีอำนาจ
 

การร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและคุณสมบัติถูกกำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ดังนี้ 

1. ใครมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกได้บ้าง? 

บุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 และ มาตรา 1714 ได้แก่:

ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก: ไม่ว่าจะเป็นทายาทโดยธรรม (เช่น บุตร บิดามารดา) หรือผู้รับพินัยกรรม
ผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก: เช่น เจ้าหนี้ของผู้ตาย หรือผู้ที่ได้รับมอบทรัพย์สินบางอย่างจากผู้ตาย (ผู้รับพินัยกรรมเฉพาะสิ่ง)
พนักงานอัยการ: ในกรณีที่ไม่มีผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ หรือมีเหตุผลจำเป็นอื่น ๆ 

2. ผู้จัดการมรดกต้องมีคุณสมบัติอย่างไร? 

ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งจากศาลต้องมีคุณสมบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1718 ดังนี้:

บรรลุนิติภาวะ: ต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย
ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ: คือสามารถบริหารจัดการทรัพย์สินและตนเองได้ตามปกติ
ไม่เป็นบุคคลที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด: เนื่องจากบุคคลล้มละลายย่อมไม่มีความสามารถในการจัดการทรัพย์สินของผู้อื่น
ไม่เป็นบุคคลที่กฎหมายห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก 

หน้าที่ ความรับผิด และบทลงโทษทางกฎหมาย 

ผู้จัดการมรดกมีอำนาจและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด หากละเลยหรือปฏิบัติผิดพลาด ย่อมต้องรับผิดชอบทั้งในทางแพ่งและทางอาญา 

3. ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่อย่างไร? 

หน้าที่ของผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1719 เป็นต้นไป สรุปได้ดังนี้:

รวบรวมและจัดทำบัญชีทรัพย์มรดก: ต้องทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ตายให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่เริ่มหน้าที่ และยื่นต่อศาลภายใน 1 เดือน (มาตรา 1729)
จัดการและแบ่งปันทรัพย์สิน: มีหน้าที่ดำเนินการทุกอย่างเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท เช่น โอนกรรมสิทธิ์ ขาย หรือจำหน่ายทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาชำระหนี้
ชำระหนี้สิน: ต้องชำระหนี้สินของผู้ตายให้แก่เจ้าหนี้ก่อนแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท
ปฏิบัติการตามพินัยกรรม: ต้องทำตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในพินัยกรรม (ถ้ามี) อย่างเคร่งครัด
ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง: ต้องใช้ความระมัดระวังและความสุจริตเยี่ยงวิญญูชนจะพึงกระทำ

4. หากทำผิดหน้าที่มีโทษอย่างไร? 

ความรับผิดทางแพ่ง: หากผู้จัดการมรดกทำให้ทรัพย์มรดกเสียหาย หรือกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ยักยอก ขายทรัพย์มรดกในราคาต่ำกว่าจริง ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิฟ้องเรียกให้ ชดใช้ค่าเสียหาย คืนแก่กองมรดก และเรียกให้ ศาลถอนถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก ได้ (มาตรา 1727)
ความรับผิดทางอาญา (ฐานยักยอก): หากผู้จัดการมรดกมีเจตนาทุจริต เบียดบังทรัพย์มรดกที่อยู่ในความดูแลของตนไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว อาจเข้าข่ายความผิดฐาน ยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ถูกถอนจากตำแหน่ง: ศาลมีอำนาจสั่งถอนผู้จัดการมรดกได้ หากปรากฏว่าผู้จัดการมรดกจัดการมรดกไปโดยทุจริต หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง 

บทสรุป: ความจำเป็นต้องปรึกษาผู้รู้กฎหมาย 

ตำแหน่งผู้จัดการมรดกเป็นตำแหน่งที่มาพร้อมกับอำนาจเด็ดขาดในการจัดการทรัพย์สินของผู้ตาย แต่ก็มีหน้าที่รับผิดชอบและบทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรงหากปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง

เนื่องจากกระบวนการรวบรวมทรัพย์ การชำระหนี้ และการแบ่งปันทรัพย์มรดกต้องอาศัยความเข้าใจในกฎหมายอย่างลึกซึ้ง การดำเนินการด้วยตนเองโดยปราศจากความรู้ทางกฎหมาย อาจทำให้เกิดความผิดพลาดจนต้องรับผิดชอบต่อทายาทในภายหลัง การปรึกษาหรือมอบหมายให้ทนายความ เข้ามาช่วยดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาล การจัดทำบัญชีทรัพย์มรดก ไปจนถึงการแบ่งปัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดการมรดกเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของผู้ตายและกฎหมายอย่างแท้จริง.

จัดทำโดย....ทนายตรินัยน์   นบ,  เนติบัณฑิตไทย

 

Powered by MakeWebEasy.com